วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โรคไต กินไม่เลือก ตายสถานเดียว

โรคไต เป็นอีกโรคหนึ่ง ที่นอกจากจะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยแล้ว ยังเป็นโรคที่ต้องบอกว่า ใช้ “ทุนทรัพย์” ในการรักษาที่เอาการทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราย ที่ร่างกายเข้าสู่จุดที่ต้องทำการฟอกไต
ดังนั้น ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงโรคนี้ได้ก็ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถป้องกันได้ ด้วยการระมัดระวังในการบริโภค
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการฟอกเลือด ด้วยเครื่องล้างไตเทียมไปเรียบร้อยแล้ว ก็มีความจำเป็น ที่จะต้องดูแลสุขภาพของตนเองไปพร้อมๆ กันด้วย กล่าวคือ ต้องเลือกรับประทานอาหารที่ให้ประโยชน์ และหลีกเลี่ยงอาหารที่จะให้โทษ เพราะนอกจากจะไปทำอันตรายต่อไตมากขึ้นแล้ว ยังจะทำให้เกิดภาวะอาการเจ็บป่วยต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะหัวใจวาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด
     
พ.ท.น.พ.อุปถัมภ์ ศุภสินธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไต โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อาหารที่ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารที่มีรสเค็ม เพราะจะส่งผลต่อความดันโลหิตสูง หัวใจโตและน้ำท่วมปอด นอกจากนี้ ก็รวมไปถึงอาหารที่ฟอสเฟสมาก เพราะจะทำให้กระดูกบาง ผุและหักง่าย ต่อมไทรอยด์จะโต ส่วนอาหารที่มีโปแตสเซียม ก็ต้องเลี่ยงเช่นกัน เนื่องจากทำให้หัวใจเต้นเร็ว และอาจเกิดภาวะหัวใจวายตามมา
ด้าน รศ.วลัย อินพรัมพรรย์ ที่ปรึกษาโภชนบำบัด โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการฟอกเลือด ด้วยเครื่องล้างไตเทียม ล้างไตผ่านทางช่องท้อง จะสูญเสียสารอาหารมากมาย อาทิ โปรตีน เกลือแร่ ดังนั้น จำต้องรับประทานอาหาร ให้ครบทั้ง 5 หมู่คือโปรตีน (เนื้อสัตว์) คาร์โบไฮเดรต (แป้ง) ไขมัน เกลือแร่ (ผักและผลไม้) และวิตามิน
     
อย่างไรก็ตาม ในการรับประทาน เนื้อสัตว์ จะต้องเลือกชนิดที่ไม่ติดมันและติดหนัง ไข่ควรรับประทานแต่ไข่ขาว เพราะไข่แดงจะมีโคเลสเตอรอล โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส ส่วนนมและเนยแข็ง รวมทั้งอาหารจำพวกถั่วต่างๆ เช่น ถั่วลิสง ถั่วแดง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ รวมทั้งขนมเปี๊ยะ กระยาสารทก็ต้องละเว้น เนื่องจากมีฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมสูง ซึ่งผู้ป่วยที่ฟอกเลือด จะมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายฟอสฟอรัส
     
ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรรับประทานข้าว รวมถึงอาหารจำพวกก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น เพราะนอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีโปรตีนที่เหมาะสมกับร่างกาย กระนั้นก็ดีข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ก็ไม่เหมาะกับผู้ป่วย เนื่องจากมีฟอสฟอรัสมาก
     
ขนมประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา ไอศกรีม พวกนี้ทำจากไข่แดง มีสารฟอสเฟสมาก ควรระมัดระวังในการรับประทาน ขนมหวานที่ผู้ป่วยรับประทานได้ จะต้องไม่หวานมากนัก เช่น ขนมน้ำดอกไม้ ขนมมัน ขนมถ้วยฟู สาคูเปียก เพราะจะช่วยให้เกิดพลังงาน สำหรับผู้ป่วยที่ล้างไตผ่านทางช่องท้อง ควรเลี่ยงพวกขนมหวานจัด เพราะยาล้างไตทางช่องท้องจะมีกลูโคสสูง จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง และพบปัญหาเรื่องหลอดเลือดหัวใจ
     
ผักที่มีสีเขียวเข้ม สีเหลืองเข้ม เช่น หน่อไม้ฝรั่ง บล็อคเคอรี่ ดอกกะหล่ำ ใบคะน้า คึ่นฉ่าย มะเขือเทศ แครอท จะมีโปแตสสูง ควรหลีกเลี่ยง กลุ่มที่รับประทานได้ เช่น แตงกวา น้ำเต้า บวบ ฟักเขียว มะเขือยาว ถั่วฝักยาว ผักกาด ส่วนผักที่ไม่ควรรับประทาน ก็เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก ลูกพรุน ลูกพลับ ขนุน ผลไม้แห้ง มะขามหวาน รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ ช็อกโกแลต โคล่า ซึ่งมีทั้งโปแตสเซียมและฟอสฟอรัส
     
อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม หมูยอ หมูหยอง หมูแผ่น นอกจากจะมีโคเลสเตอรอลแล้ว ยังมีโปแตสเซียมและโซเดียมสูง ควรยกเว้น อาหารสำเร็จรูปทุกประเภท บะหมี่ โจ๊ก มีโซเดียมสูง มีรสเค็มจัด ไม่ควรรับประทานอย่างยิ่ง เพราะนอกจากร่างกายจะบวมแล้ว ยังส่งผลถึงความดันสูงอีกด้วย รศ.วลัยแนะนำ

และปิดท้ายกันที่ ดร.ชนิดา ปโชติกาล แห่งภาควิชาคหกรรมศษสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ที่แนะนำว่า การที่ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการฟอกเลือด ด้วยเครื่องล้างไตเทียม หรือล้างไตผ่านทางช่องท้อง จะต้องรับการตรวจเลือดก่อนว่า มีสารประเภทใดในเลือดที่สูงมาก เมื่อทราบแล้ว ก็ไปปรึกษานักกำหนดอาหาร ซึ่งจะเป็นผู้ที่ให้ความรู้ และคำปรึกษาเกี่ยวกับโภชนาการ ให้เป็นไปตามที่แพทย์กำหนด เมื่อผู้ป่วยได้บริโภคอาหาร ถูกต้องเหมาะสมกับภาวะที่ร่างกาย อยู่ระหว่างการฟอกเลือด ก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ที่สำคัญช่วยยึดอายุให้ยืนยาวมากขึ้น


แหล่งข้อมูล : www.manager.co.th 

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคไต

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคไต เป็นคำถามที่มักจะได้ยินบ่อยๆ คำตอบก้คือใช้
การวินิจฉัยโรค ซึ่งตามหลักวิชาแพทย์จะอาศัยกรรมวิธี 3 ประการคือ
1. การซักประวัติ (Signs) จะได้ทราบถึงลักษณะอาการ
2. การตรวจทางร่างกาย (Symptoms) จะได้ทราบอาการที่แสดง
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Lab) คือการตรวจทางห้องแล็ป ได้แก่การ
ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และการเอ็กซ์เรย์ รวมทั้งการตรวจทางพยาธิวิทยา
เช่น การตรวจทางชิ้นเนื้อ การเพาะเลี้ยงเชื้อ เป็นต้น

โดยปกติแล้วเราต้องเรียนรู้กายวิภาคและสรีระหน้าที่ก่อน คือต้องรู้ว่าสภาพ
ปกติของอวัยวะนั้นๆ เป็นอย่างไรก่อน แล้วจึงมารู้เรื่องพยาธิสภาพก็คือการรู้
ภาวะการเป็นโรคซึ่งจะทราบถึงอาการ อาการแสดง และการตรวจทางห้อง
แล็ป พูดง่ายๆการที่จะรู้ว่าเป็นโรคไตหรือไม่ ก็ต้องรู้สภาพปกติและหน้าที่ของ
ไต รวมทั้งโรคต่างๆของไตเสียก่อน เมื่อไตเป็นโรคก็จะมีอาการ และอาการ
แสดงตลอดจนความผิดปกติทั้งทางสภาพและหน้าที่ เมื่อประมวลต่างๆเข้า
ด้วยกันก็จะรู้ว่าเป้นโรคไตหรือไม่

โรคไตสามารถใช้หลักในการแบ่งความผิดปกติได้หลายวิธี
1. แบ่งตามสาเหตุ
- โรคไตที่เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่นมีไตข้างเดียวหรือไตมี
ขนาดไม่เท่ากัน โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic kidney disease) ซึ่งเป็น
กรรมพันธุ์ด้วย เป็นต้น
- โรคไตที่เกิดจากการอักเสบ (Inflammation) เช่นโรคของกลุ่มเลือดฝอย
ของไตอักเสบ (glomerulonephritis)
- โรคไตที่เกิดจากการติดเชื้อ (Infection) เกิดจากเชื้อแบคที่เรียเป็นส่วน
ใหญ่ เช่นกรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (จากเชื้อ
โรค) เป็นต้น
- โรคไตที่เกิดจากการอุดตัน (Obstruction) เช่นจากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต
มะเร็งมดลูกไปกดท่อไต เป็นต้น
- เนื้องอกของไต ซึ่งมีได้หลายชนิด

2.แบ่งตามกายวิภาคของไต
- โรคของหลอดเลือดของไต เช่นมีการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดไต
- โรคของกลุ่มเลือดฝอยของไต (Glomerulus) ซึ่งพบได้มาก เกิดการอักเสบ
ชนิดไม่ติดเชื้อ (Glomerulonephritis)
- โรคของหลอดไต (Tubule) เช่นการตายของหลอดไตภายหลังอาการช็อค
หรือได้รับสารพิษ เกิดภาวะไตวายแบบเฉียบพลัน (Acute renal failure)
- โรคของเนื้อไต (Interstitium) เช่น แพ้ยาหรือได้รับสารพิษ เป็นต้น

3. แบ่งตามต้นเหตุ จะแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ได้ 2 กลุ่ม
- ต้นเหตุจากภายในไตเอง ซึ่งอาจรูหรือไม่รู้สาเหตุก็ได้
- ต้นเหตุจากภายนอกไต เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรค SLE

อาการ อาการแสดง และการตรวจทางห้องปฏิบัติการจะแตกต่างกันไปตาม
แต่ละชนิดและตามระยะของโรค สิ่งตรวจพบอย่างหนึ่งอาจตรวจพบได้ใน
หลายๆโรค ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อาการบวม อาจเกิดจากโรคไต โรคตับ โรค
หัวใจ โรคขาดสารอาหารโปรตีน จากความผิดปกติของฮอร์โมน หรือจากผล
ข้างเคียงของยาบางตัว แต่คนทั่วไปอาจรูจักกันดีว่า อาการบวมเป็นอาการที่
พบได้บ่อยในโรคไต ซึ่งก็เป็นจริงถ้ามีลักษณะบ่งชี้เฉพาะของโรคไตและแยก
แยะโรคอื่นๆออกไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน โรคอื่นๆอาจจะมีอาการและสิ่งตรวจพบได้หลายอย่างที่มีส่วน
คล้านเช่นโรคเอส แอล อี ซึ่งเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง อาจมีอาการแสดงออกตาม
ระบบต่างๆเช่น ผิวหนัง เส้นผม ข้อ ไต หัวใจ ปอด และระบบเลือดเป็นต้น

ดังนั้นการวินิจฉัยดรคไตจะใช้วิธีย้อนศร กล่าวคือจะเริ่มดูจากปัสสาวะ ก่อน
เพราะไตเป็นตัวสร้างและขับถ่ายปัสสาวะ ดังนั้นปัสสาวะกับไตน่าจะมีความ
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ที่สำคัญต้องมีขบวนการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจ
เลือด ปัสสาวะ เอ็กซ์เรย์ บางครั้งอาจต้องเจาะไต (kidney biopsy) เอาเนื้อไต
มาตรวจจึงจะทราบว่าเป็นโรคไต

เหตุสงสัยว่าจะเป็นโรคไต พอจะสรุปได้ดังนี้
- ปัสสาวะเป็นเลือด โดยปกติในน้ำปัสสาวะจะไม่มีเลือดหรือเม็ดเลือดสอออก
มา อาจมีได้บ้างประมาณ 3-5 ตัว เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศ์ขยายปานกลาง
การมีเลือดออกในปัสสาวะถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคไต แต่ก็
อาจจะไม่ใช่ก็ได้
ปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นเลือดสดๆ เลือดเป็นลิ่มๆ ปัสสาวะเป็นสีแดง สีน้ำ
ล้างเนื้อ สีชาแก่ๆ หรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มก็ได้
ในสตรีที่มีประจำเดือน ปัสสาวะอาจถูกปนด้วยประจำเดือน กลายเป็นปัสสาวะ
สีเลือดได้ ถือว่าปกติ
ในโรคของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างเช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อม
ลูกหมากโต ปัสสาวะมักจะเป็นเลือดสดๆ หรือเป็นลิ่มๆได้
ในโรคของเนื่อไตหรือตัวไตเอง การมีเลือดในปัสสาวะมักเป็นแบบสีล้างเนื้อ
สีชาแก่ หรือสีเหลืองเข้ม
ในผู้ป่วยชาย จำเป็นต้องตรวจค้นหาสาเหตุของปัสสาวะเป็นเลือด แม้จะเกิด
ขึ้นเพียงครั้งเดียวก็ตาม แต่ในผู้หญิงเนื่องจากมีโอกาสกรพเพาะปัสสาวะอัก
เสบได้บ่อยอาจตรวจค้นหาสาเหตุได้ช้าหน่อย
ในหลายๆกรณีแม้การตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ อาจยังไม่สามารถ
บอกสาเหตุได้ จำเป็นต้องเจาะเอาเนื่อไตมาตรวจโดยพยาธิแพทย์ จึงจะทราบ
ถึงสาเหตุได้

-ปัสสาวะเป็นฟองมาก คนปกติเวลาปัสสาวะอาจจะมีฟองขาวๆบ้าง แต่ถ้าใน
ปัสสาวะมีไข่ขาว (albumin) หรือโปรตีนออกมามาก จะทำให้ปัสสาวะมีฟอง
ได้มาก ขาวๆ เหมือนฟองสบู่
จำเป็นต้องตรวจปัสสาวะ และเก็บปัสสาวะตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อหาปริมาณ
โปรตีนในปัสสาวะ ผู้ป่วยที่มีไข่ขาวออกมาในปัสสาวะมาก ส่วนมากเป็นจาก
โรคหลอดเลือดฝอยของไตอักเสบจากไม่รู้สาเหตุ ทำให้ระดับโปรตีนในเลือด
ลดลงและเกิดอาการบวม รวมทั้งปริมาณโคเลสเตอรอลและไขมันเลือดสูงได้
ดูการตรวจหาระดับโปรตีน (albumin) ในปัสสาวะด้วยตนเอง
การตรวจพบไข่ขาวออกมาในปัสสาวะในจำนวนไม่มากอาจพบได้ในโรคหัวใจ
วาย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น

แต่การมีปัสสาวะเป็นเลือด พร้อมกับมีไข่ขาว-โปรตีนออกมาใน
ปัสสาวะพร้อมๆกัน เป็นข้อสัญนิฐานที่มีน้ำหนักมากว่าจะเป็นโรคไต

-ปัสสาวะขุ่น อาจเกิดจากมี เม็ดเลือดแดง (ปัสสาวะเป็นเลือด) เม็ดเลือดขาว
(มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย (แสดงว่ามีการติดเชื้อ) หรืออาจเกิดจากสิ่งที่
ร่างกายขับออกจากไต แต่ละลายได้ไม่ดี เช่นพวกผลึกคริสตัลต่างๆ เป็นต้น

-การผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ เช่นการถ่ายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบ
ปัสสาวะราด เบ่งปัสสาวะ อาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการผิดปกติของระบบทาง
เดินปัสสาวะ เช่นกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากและท่อทางเดินปัสสาวะ

- การปวดท้องอย่างรุนแรง (colicky pain) ร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือด
ปัสสาวะขุ่น หรือมีกรวดทราย แสดงว่าเป็นนิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะ

- การมีก้อนบริเวณไต หรือบริเวณบั้นเอวทั้ง 2 ข้าง อาจเป็น โรคไตเป็นถุงน้ำ
การอุดตันของไต หรือเนื้องอกของไต

- การปวดหลัง ในความหมายของคนทั่วๆไป การปวดหลังอาจไม่ใช่โรคไต
เพราะการปวดบริเวณเอวมักเกิดจากโรคกระดูและข้อ หรือกล้ามเนื้อ ในกรณี
ที่เป็นกรวยไตอักเสบ จะมีอาการไข้หนาวสั่นและปวดหลังบิเวณไตคือบริเวณ
สันหลังใต้ซี่โครงซีกสุดท้าย

อาการและอาการแสดงทั้งหมดที่กล่าวนี้ จัดเป็นอาการและอาการแสดงเฉพาะ
ที่(local signs&symptoms) ซึ่งได้แก่ไต ทางเดินปัสสาวะ และการขับถ่าย
ปัสสาวะ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มอาการและอาการแสดงที่ชวนให้สงสัยหรือเป็น
ส่วนหนึ่งของอาการดรคไตคือ อาการแสดงทั่วไป (systemic signs &
symptoms) ได้แก่
- อาการบวม เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นโรคไตจะมีอาการบวม โดยเฉพาะการบวม
ที่บริเวณหนังตาในตอนเช้า หรือหน้าบวม ซึ่งถ้าเป็นมากจะมีอาการบวมทั่วตัว
อาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย โรคไตอักเสบชนิดเนฟโฟรติค
ซินโดรม (Nephrotic Syndrome)
อย่างไรก็ตามอาการบวมอาจเกิดได้จากโรค ตับ โรคหัวใจ การขาดสาร
อาหารโปร ความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมน และการบวมชนิดไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งต้องใช้การซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อใช้
แยกแยะ หรือยืนยันให้แน่นอน
- ความดันโลหิตสูง เนื่องจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิต ประกอบกับไต
มีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เพราะฉะนั้นความดันโลหิต
สูงอาจเป็นจากโรคไตโดยตรง หรือในระยะไตวายมากๆความดันโลหิตก็จะสูง
ได้
อย่างไรก็ตาม สาเหตุของความดันโลหิตสูงนั้นมีมากมาย โรคไตเป็นเพียง
สาเหตุหนึ่งเท่านั้น แต่ก็เป็นสาเหตุที่สามารถรักษาให้หายขาดได้
- ซีดหรือโลหิตจาง เช่นเดียวกับความดันโลหิตสูง สาเหตุของโลหิตจางมีได้
หลายชนิด แต่สาเหตุที่เกี่ยวกับโรคไตก็คือ โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic renal
failure) เนื่องจากปกติไตจะสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) เพื่อไป
กระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเกิดไตวายเรื้อรังไตจะไม่สามารถ
สร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) ไปกระตุ้นไขกระดูก ทำให้ซีดหรือ
โลหิตจาง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามือ เป็นลมบ่อยๆ

ขอแนะนำว่า ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองเป็นโรคไตหรือไม่นั้น ต้องไปพบแพทย์ ทำ
การวักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจปัสสาวะ
ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ จึงจะพอบอกได้แน่นอนขึ้นว่าเป็นโรคไตหรือไม่ ถ้าหาก
พบแพทย์ท่านหนึ่งแล้วยังสงสัยอยู่ก็ขอให้ไปพบและปรึกษาแพทย์โรคไตเฉพาะ
อายุรแพทย์โรคไต (Nephrologist) หรือศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ
(Urologist) ก็ได้

โรคไต

โรคไต หมายถึง โรคชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของพยาธิสภาพของไตในการทำงานเพื่อขับของเสียออกจากร่างกายและรักษาความสมดุลของเกลือและน้ำในร่างกายคนเรา โรคไตมีหลายประเภทดังนี้

* โรคไตวายฉับพลันจากเหตุต่างๆ
* โรคไตวายเรื้อรังเกิดตามหลังโรคเบาหวาน โรคไตอักเสบ โรคความดันโลหิตสูง โรคเก๊าท์
* โรคไตอักเสบเนโฟรติก
* โรคไตอักเสบจากภาวะภูมิคุ้มกันสับสน (โรค เอส.แอล.อี.)
* โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
* โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic Kidney Disease)
สาเหตุ

* เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่นมีไตข้างเดียว หรือไตมีขนาดไม่เท่ากัน โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic kidney disease) ซึ่งเป็น กรรมพันธุ์ด้วย เป็นต้น
* เกิดจากการอักเสบ (Inflammation) เช่นโรคของกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ (glomerulonephritis)
* เกิดจากการติดเชื้อ (Infection) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ เช่นกรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (จากเชื้อ โรค) เป็นต้น
* เกิดจากการอุดตัน (Obstruction) เช่นจากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต มะเร็งมดลูกไปกดท่อไต เป็นต้น
* เนื้องอกของไต ซึ่งมีได้หลายชนิด

ทุกๆท่านก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย
อาการ

1. อาการปัสสาวะผิดปกติ เนื่องจากไตและกระเพาะปัสสาวะทำงานสัมพันธ์กัน เมื่อไตเกิดผิดปกติจึงส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะผิดปกติไปด้วย อาการผิดปกติของปัสสาวะมีดั้งนี้ ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลำบาก เจ็บ ต้องออกแรงแบ่ง ปัสสาวะไม่พุ่ง ปัสาวะสะดุดกาลางคัน ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ ปัสสาวะเป็นฟองมาก ปัสสาวะเป็นเลือด
2. อาการบวม ผู้ป่วยโรคไตส่วนมากมีอาการบวมตามที่ต่างๆ ของร่างกาย เช่น บวมรอบดวงตาและที่บริเวณใบหน้า บวมที่เท้า หากใช้นิ้วกดไปตรงบริเวณที่บวมแล้วมีรอยบุ๋มลงไปให้สันนิษฐานไว้เลยว่าเป็น โรคไต
3. อาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง เอว กระดูกและข้อ โดยจะมีลักษณะการปวดคือ รู้สึกปวดที่บั้นเอวหรือบริเวณชายโครงด้านหลังและมักปวดร้าวไปถึงท้องน้อย ขาอ่อน หัวหน่าว และที่อวัยวะเพศ
4. ความดันโลหิตสูง เป็นอาการสำคัญที่บอกให้รู้ว่าคุณมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง ยิ่งผู้ป่วยเป็นความดันโลหิตสูงมานานและไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิต ให้อยู่ในภาวะที่สมดุล ยิ่งมีความเสี่ยงมากกว่าปกติโดยอาจจะเป็นโรคไตเรื้อรังและโรคหลอดเลือดแดงใน ไตตีบ

วิธีรักษา

อาจแบ่งได้เป็น 4 วิธีหลักๆ ด้วยกัน คือ

1. การตรวจค้นหา และการวินิจฉัย โรคไตที่เหมาะสม การตรวจค้นหา หรือวินิจฉัยโรค ที่ถูกต้องได้ในระยะต้นๆ ของโรค ย่อมมีโอกาสได้รับผลการรักษาดีกว่าการเข้าวินิจฉัยล่าช้า
2. การรักษาที่สาเหตุของโรคไต เช่นการรักษานิ่วไต การหยุดยาซึ่งเป็นพิษต่อไต การควบคุมโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ให้ดีอย่างสม่ำเสมอ การใช้ยาที่เหมาะสม กับโรคเนื้อไตอักเสบแต่ละชนิด เป็นต้น
3. การรักษาเพื่อชะลอ ความเสื่อมของไต แม้แพทย์จะรักษาสาเหตุของโรคไตแล้วแต่ผู้ป่วยจำนวนมากอาจมีการทำงานของไตที่ เสื่อมลงกว่าปกติ เพราะเนื้อไตบางส่วนถูกทำลายไปไตส่วนที่ดีซึ่งเหลืออยู่จะต้องทำงานหนักขึ้น ทำให้ไตเสื่อมการทำงานมากขึ้นตามระยะเวลาและมักเกิดไตวายในที่สุด ดังนั้นการชะลอการเสื่อมของไต อันได้แก่ การควบคุมอาหารให้เหมาะ กับการทำงานของไตที่เหลืออยู่ การใช้ยาเพื่อช่วยปรับสารต่างๆ ที่เป็นพิษต่อไต การควบคุมความดันโลหิตให้ดี เป็นต้น
4. การรักษาทดแทน การทำงานของไต (การล้างไต และการผ่าตัดปลูกถ่ายไต) เมื่อไตวายมากขึ้นจนเข้าระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยการล้างไตหรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต

โรคภัยเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะกับเด็ก ๆ “หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน” เป็นอีกโรคหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม!!

โรคภัยเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะกับเด็ก ๆ “หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน” เป็นอีกโรคหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม!!

พ.ต.อ.นพ.ธนิต จิรนันท์ธวัช อายุรแพทย์โรคไต หัวหน้า หน่วยไต โรงพยาบาลตำรวจ อธิบายถึงการเกิดของโรคนี้ว่า โดยปกติหน่วยไตของคนเรานั้น เป็นหน่วยเล็ก ๆ กระจายอยู่ในเนื้อไต มีขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยไตแต่ละข้างจะมีหน่วยไตอยู่ข้างละประมาณ 1 ล้านหน่วย เปรียบเหมือนกับทหาร ทำหน้าที่ขับของเสีย ปรับสมดุลของน้ำ และเกลือแร่ เพื่อผลิตเป็นน้ำปัสสาวะออกมา

โรคนี้จะเกิดหลังจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า เบตา-สเตรปโตค็อกคัส ระหว่าง 7-21 วัน หรือโดยเฉลี่ย 10-14 วัน โดยอวัยวะ 2 จุดสำคัญที่มักจะติดเชื้อ คือ บริเวณลำคอและผิวหนัง ทำให้มีอาการเจ็บคอ คออักเสบ หรือ เป็นตุ่ม ฝี หนอง ขึ้น บริเวณผิวหนัง พบในเด็กได้บ่อยกว่าในผู้ใหญ่ โดยอายุ ที่พบมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 2-6 ขวบ

เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นที่หน่วยไต จะทำให้ร่างกายเสียกระบวนการทำงาน ขับปัสสาวะออกมาได้น้อย มีของเสียคั่งอยู่ในเลือดมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการบวม ปัสสาวะออกมาเป็นสีแดงและมีโปรตีนรั่วมาในปัสสาวะได้

“คนไข้จะมาด้วย อาการบวม บริเวณหน้าและรอบดวงตา โดยเฉพาะในช่วงเช้า และอาจจะมีอาการบวมที่ขาร่วมด้วย โดยจะเริ่มจากบวมเล็กน้อย บวมตึง ไปจนถึงบวมมาก โดยอาการบวมดังกล่าวจะไม่เหมือนกับคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ เพราะโรคหัวใจจะเป็นการบวมน้ำที่ปอด คนไข้จะมีอาการหอบเหนื่อยด้วย และไม่เหมือนกับอาการบวมที่เกิดจากโรคตับแข็ง เพราะโรคตับแข็งจะมีอาการบวมที่ท้อง เรียกว่ามีน้ำในท้อง รวมทั้ง ตาจะเหลือง ทำให้สามารถแยกโรคได้”

อาการต่อมาของโรคนี้ คือ ปัสสาวะผิดปกติ โดยจะปัสสาวะออกมาเป็นเลือด มีตั้งแต่สีแดงสดไปจนถึงสีแดงเข้ม รวมทั้ง ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนไข้ที่วัยไม่ควรมีความดันโลหิตสูง อย่างวัยเด็ก หรือ วัยหนุ่มสาว เพราะโรคความดันโลหิตสูงจะเป็นอาการของคนสูงอายุ หรือคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ถ้าอายุน้อยแล้วเป็น ให้สงสัยไว้ว่าอาจเป็นโรคหน่วย ไตอักเสบได้ โดยมีตั้งแต่ความดันโลหิตสูงเล็กน้อยไปจนถึงความดันโลหิตสูงมากได้ และอาจมีอาการอื่น ๆ ตามมาได้ด้วย เช่นกัน อาทิ ปวดหลัง แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 90-95 เปอร์เซ็นต์ มีสาเหตุจากกระดูกและกล้ามเนื้อไม่ใช่อาการปวดที่มาจากโรคไต และในผู้ป่วยบางรายจะมีการทำงานของไตเสื่อมลง หรืออาจรุนแรงจนเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้

“การตรวจพบของแพทย์ สามารถทำได้โดย การตรวจปัสสาวะ เพราะไตจะดีเป็นปกติหรือไม่นั้น ผลลัพธ์อยู่ที่ปัสสาวะ ดังคำขวัญที่ว่า ตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ปัสสาวะจึงเป็นหน้าต่าง ของไตเช่นกัน ฉะนั้นถ้าตรวจ ปัสสาวะแล้วมีความผิดปกติ จะสะท้อนให้เห็นว่า ไตคนนั้นกำลังมีความผิดปกติเกิดขึ้น”

การตรวจปัสสาวะ สามารถ ทำได้ 2 วิธี คือ ทางเคมี กับ การส่องกล้องจุลทรรศน์ โดยวิธี ทางเคมี จะตรวจพบว่า มีเลือด หรือ โปรตีนรั่วออกมาปนกับปัสสาวะ ซึ่งการตรวจพบโปรตีนรั่วนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะคนทั่วไปไม่ ควรมีโปรตีนรั่วออกมาทางปัสสาวะได้เลย ถ้าตรวจพบต้องสันนิษฐานว่า มีโรคไตหลบซ่อนอยู่

อีกวิธีหนึ่ง คือ การตรวจ ด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยการนำปัสสาวะที่ปั่นแล้วมาส่อง กล้องตรวจ ถ้ามี ความผิดปกติจะตรวจพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ จำนวนมากกว่า 5 ตัว ต่อ 1 ฟิลล์ของกล้องที่ใช้กำลังขยายสูง การตรวจพบเม็ดเลือดแดงที่มีความผิดปกติมากกว่า 5 ตัว มีนัยสำคัญ คือต้องค้นหาเม็ดเลือดแดงนี้ ว่ารั่วมาจากที่ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพบเม็ดเลือดแดงออกมาในปริมาณมาก

รวมทั้ง ลักษณะของเม็ดเลือดแดง โดยปกติเม็ดเลือดแดงจะมีลักษณะกลม แต่ถ้าเมื่อไร มีลักษณะผิดรูป บิดเบี้ยว คดเคี้ยวไป ให้สงสัยไว้ว่า เม็ดเลือดแดงที่ผิดปกตินั้นจะออกมาจากหน่วยไต ที่มีความเสียหายจากการที่หน่วยไตเกิดการอักเสบ

ด้านการรักษา พ.ต.อ. นพ.ธนิต กล่าวเพิ่มเติมว่า เริ่มจากรักษาตามอาการที่นำคนไข้มาพบก่อน เนื่องจากในเวลาคนไข้มาพบหมอ อาการที่เป็นจากการติดเชื้อสาเหตุของโรคนี้อาจจะหายไปแล้ว เพราะโดยปกติทั่วไปจะเกิดอาการแสดงของโรคไตอักเสบ หลังจากการติดเชื้อ 7-21 วัน แต่อาการแสดงของการติดเชื้อที่บริเวณลำคอและผิวหนัง ส่วนใหญ่ จะดีขึ้นแล้วหรือหายไปได้เองภายใน 7 วัน ทำให้เวลามาพบหมอไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจนหรือตรวจไม่พบการติดเชื้อ

ดังนั้น จึงเป็นการรักษาตามอาการที่ยังพบอยู่ในคนไข้ อย่างเช่น อาการบวม ซึ่งแพทย์จะให้คนไข้พักผ่อน งดของเค็ม เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเกลือ รวมทั้ง ลดปริมาณน้ำดื่มลง ในคนไข้บางรายมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาขับ ปัสสาวะช่วย ในการขับน้ำและเกลือที่เกินออกจากร่างกาย

“ถ้าคนไข้ยังมีความดันโลหิตสูงมากอยู่ แม้ว่าจะได้รับยาขับปัสสาวะแล้ว จะให้ยาลดความดันโลหิตสูงเพิ่ม ส่วนการรักษาอาการติดเชื้อ จะใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะไม่มีอาการติดเชื้อให้เห็นแล้ว เนื่องจากเป็นโรคที่หายได้เอง แต่ถ้ายังมีอาการติดเชื้ออยู่ จำเป็นที่จะต้องใช้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ ซึ่งจะเป็นยากลุ่มเพนนิซิลลิน หรือ กลุ่มอีริโทรมัยซิน”

โรคไตเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ถ้าไม่รีบเข้ารับการรักษาอาจจะเข้าสู่ภาวะโรคไต เรื้อรัง และไตวายระยะสุดท้ายได้ ฉะนั้น เมื่อมีอาการหรือเป็นโรคเกี่ยวกับไตแล้ว ควรรีบพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษา อย่าปล่อยให้เรื้อรัง เพราะถือได้ว่าเป็นโรคที่ทำลายอวัยวะที่สำคัญของ ร่างกาย ที่จะส่งผลให้คุณภาพชีวิตถดถอยลงได้.

เคล็ดลับสุขภาพดี : วิธีการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

เมื่อเราเกิดอาการเจ็บ ป่วยไม่สบายขึ้นมาจำเป็นต้องใช้ยาในการบำบัดรักษาโรค แต่หากไม่ทราบว่าการซื้อยาทุกครั้งจะต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีวิธีการเลือกซื้อและการใช้ยาที่ถูกต้องเพื่อความ ปลอดภัยของร่างกายมาฝาก

นายแพทย์อัมพร อิทธิระวิวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวแนะนำว่า เวลาเราเลือกซื้อเสื้อผ้าหรือของเล่นให้ลูก ๆ เรายังดูว่าแบรนด์อะไร ทำจากที่ใด ใครเป็นผู้ผลิต ฉะนั้นผู้ป่วยเองก็ควรจะปฏิบัติเช่นเดียวกันในเวลาที่เลือกซื้อหรือบริโภคยา เนื่องจากมาตรฐานของผู้ ผลิตยาแต่ละรายและคุณภาพของยาแต่ละตัวไม่ เท่ากัน ระดับความบริสุทธิ์และสม่ำเสมอของยาแต่ละโดส ก็มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ในการผลิตของบริษัทยาแต่ละราย ซึ่งส่งผลต่อความสามารถหรือประสิทธิ ภาพของยาในการออกฤทธิ์ทางการรักษาและความปลอดภัยของยานั้น ๆ โดยผู้ป่วยเองควรต้องเช็กดูให้ดีว่าผลิตจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้หรือไม่ นอกจากนี้ผู้ป่วยควรทราบถึงสิทธิของตนเองว่ามีสิทธิที่จะฟ้องร้องผู้ผลิตยา ได้หรือไม่ หากยาที่ซื้อมามีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานหรือบกพร่องเช่นเดียวกับสินค้าสำหรับ อุปโภคทั่วไป

นอกจากนี้ คุณหมออัมพร ยังได้แนะนำถึงขั้นตอนการใช้ยาอย่างปลอด ภัยง่าย ๆ 7 ข้อด้วยกัน คือ 1.ปรึกษาแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งก่อนเริ่มใช้ยา รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เกี่ยวกับเวลา ขนาด และวิธีการใช้ยา 2.แจ้งรายการยาที่ใช้ประจำและประวัติการแพ้ยาแก่แพทย์และเภสัชกร 3.เช็กแหล่งผลิตยาให้แน่ใจว่าเป็นบริษัทที่เชื่อถือได้และมีคุณภาพ การผลิตตามมาตรฐานสากล 4.ตรวจสอบวันหมดอายุของยาบนฉลากยาทุกครั้งก่อนใช้หรือบริโภคยา 5.เก็บรักษายาให้ถูกวิธีตามอุณหภูมิที่ระบุในเอกสารกำกับยา 6.สังเกตอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น หากมีข้อกังวลใด ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที และ 7.อ่านเอกสารกำกับยาให้เข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

เป็นอย่างไรกันบ้างคะวิธีการใช้ยาอย่างปลอดภัยทั้ง 7 ข้อนี้ คงไม่ยากเกินไปที่ทุกท่านจะปฏิบัติตามนะคะ เพราะหากสามารถปฏิบัติได้ก็จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิ ภาพและมีความปลอดภัยในชีวิตสู่การมีสุขภาพที่ดีต่อไปค่ะ.

สรรหามาบอก

- กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการบำบัดรักษาโรคพร้อมชมนิทรรศการการรักษาโรค ด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของ 14 จังหวัดภาคใต้ ในงาน “รวมพลังสร้างสุขภาพด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน ครั้งที่ 2” ระหว่างวันที่ 14-15 กรกฎาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ณ บริเวณกระบี่ไนท์พลาซ่า จ.กระบี่

- โรงพยาบาลนครธน ร่วมกับดัชมิลล์ พลัส แอดวานซ์ ขอเชิญคุณแม่ที่มีลูกน้อยอายุระหว่าง 2-6 ขวบ ร่วมกิจกรรมพัฒนาการที่ดีเริ่มจากอารมณ์ที่ดีและร่วมฟังสัมมนาเรื่อง “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด...แบบอารมณ์ดี” โดย ศ.พญ.อลิสา วัชรสินธุ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็ก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนาวาเอกพรทิพย์ อินทรวิเชียร นักจิตวิทยาคลินิก โรงพยาบาลนครธน ใน วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม 2553 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุม ทองสิมา ชั้น 4 โรงพยาบาลนครธน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สนใจโทร. 0-2450-9999

- บริษัท เฮลธ์ อิมแพค จำกัด บริการตรวจมวลกระดูกฟรี จากผลิตภัณฑ์โปรตีนบำรุงข้อ แคลจี และผงชงดื่ม โซลูแคล แคลเซียมผสมคอลลาเจน ใน วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม 2553 ที่โรงพยาบาลเสรีรักษ์ เวลา 08.00-12.00 น. พร้อมฟังการบรรยายพิเศษเรื่อง “ข้อเข่าเสื่อม..ป้องกันได้ก่อนเรื้อรัง” โดย นพ.สวัสดิ์ วิเศษสัมมาพันธ์ ศัลยแพทย์เฉพาะ ทางด้านออร์โธปิดิกส์ สนใจสำรองที่นั่งได้ที่ 0-2918-9888 และเชิญชวนประชาชนรับฟังทอล์กโชว์เรื่อง “การดูแลสุขภาพดีอย่างไร” ที่โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส โดย อาจารย์จตุพล ชมภูนิช เวลา 09.00-12.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0-2975-6700

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง

การรักษาโรคไตวายเรื้อรัง
1.รักษาตามอาการ
2.ล้างไตทางช่องท้อง
3.ฟอกเลือด
4.ปลูกถ่ายไต
สรุปการป้องกันไม่ให้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง
1.ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด
2.ควบคุมความดันโลหิตสูง
3.หลีกเลี่ยงยาที่เป็นพิษต่อไต

วิธีการลดการเกิดโรคไตวายเรื้อรัง

วิธีการลดการเกิดโรคไตวายเรื้อรัง

1. ลดความดันโลหิตสูง

2.ควบคุมปริมาณน้ำตาลให้ได้110มล.กรัม

3.หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดและสารอื่นที่มีพิษต่อไต

4. ลดไขมันในเลือดโดยการออกกำลังกาย

ลักษณะของโรคไตวายเรื้อรัง

1.ความดันโลหิตสูง

2.บวม

3.ซีด

4.อ่อนเพลีย

โรคไตการป้องกันเเละการรักษาไต

การป้องกันและการรักษาโรคไต
ไตมี 2 ข้าง อยู่บริเวณด้านหลัง ใต้ชายโครง บริเวณบั้นเอว มีรูปร่างคล้ายถั่วเหลือง ยาวประมาณ 12เซนติเมตรไต - ประกอบด้วยหลอดเลือดฝอยมากมาย เรียกว่า “หน่วยไต” ( nephron ) - หน่วยไตจะลดจำนวน และเสื่อมสภาพตามอายุไข
ไตทำหน้าที่อะไร ?
1 กำจัดของเสีย
2 ดูดซึม และเก็บสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
3 รักษาสมดุลน้ำของร่างกาย
4 รักษาสมดุลเกลือแร่ของร่างกาย
5 รักษาสมดุลกรดด่างของร่างกาย
6 ควบคุมความดันโลหิต
7 สร้างฮอร์โมน
1 กำจัดของเสีย ได้แก่ ยูเรีย ครีเอดินิน เมื่อร่างกายได้รับสารอาหาร จะย่อยสลาย นำส่วนที่เป็นประโยชน์ไปใช้ และปล่อยของเสียออกสู่กระแสเลือด ผ่านมายังไต และถูกขับออกมากับปัสสาวะ ขับยา และสารแปลกปลอมอื่น ๆ
2 ดูดซึม และเก็บสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไว้ สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จะถูกดูดกลับโดยเซลล์ของหน่วยไตเช่น น้ำ ฟอสเฟด โปรตีน 3 รักษาสมดุลน้ำของร่างกาย ถ้าน้ำมีมากเกินความต้องการของร่างกาย ไตจะทำหน้าที่ขับน้ำออกมาทางปัสสาวะ ถ้าอยู่ในภาวะขาดน้ำ ไตจะพยายามสงวนน้ำไว้ให้ร่างกาย ปัสสาวะจะมีปริมาณน้อยและเข้มข้น
4 รักษาสมดุลเกลือแร่ของร่างกาย ไตที่ปกติจะขับเกลือส่วนเกินได้เสมอ แม้จะรับประทานรสเค็มจัด แต่ถ้าเสื่อมสมรรถภาพ ผู้ป่วยจะมีอาการบวมถ้ารับประทานเกลือมากเกินไป
5 รักษาสมดุลกรดด่างของร่างกาย ร่างกายจะผลิตกรดทุกวัน จากการเผาผลาญอาหารโปรตีน ถ้าไตทำหน้าที่ปกติ จะไม่มีกรดคั่ง - ถ้าไตเสื่อมสมรรถภาพ ร่างกายจะมีปัสสาวะเป็นกรด
6 ควบคุมความดันโลหิต ความดันโลหิตสูง เกิดจากความผิดปกติในการควบคุมสมดุลน้ำ และเกลือ รวมถึงสารบางชนิด ผู้ป่วยโรคไต จึงมักมีความดันโลหิตสูง เพราะไตถูกกระตุ้นให้สร้างสารที่ทำให้ความดันสูง ถ้าความดันโลหิตสูงมาก ทำให้หัวใจทำงานหนัก หรืออาจเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือ แตก เป็นอัมพฤกษ์ และอัมพาตได้
7 สร้างฮอร์โมนไต ปกติสามารถสร้างฮอร์โมนได้หลายชนิด ถ้าเป็นโรคไต การสร้างฮอร์โมนจะบกพร่องไป ตัวอย่างฮอร์โมนที่สร้างจาไต ฮอร์โมนเออริโธรพอยอิติน ( erythropoietin) ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้นผู้ป่วยจะมี อาการซีด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หัวใจทำงานหนัก วิงเวียน หน้ามืด เหนื่อย ใจสั่น เป็นลมบ่อย วิตามินดีชนิด calcitriol ทำหน้าที่ช่วยควบคุมการดูดซึมแคลเซี่ยม ซึ่งการที่วิตามีนดี และแคลเซี่ยมในเลือดต่ำ ทำให้ต่อมพาราธัยรอยด์หลั่งฮอร์โมนมากกว่าปกติ เป็นผลเสียต่ออวัยวะหลายอย่างในร่างกาย โดยเฉพาะกระดูก ทำให้ไม่แข็งแรง
ไตเสื่อมทำให้เกิดผลเสียต่ออวัยวะต่าง ๆ
ใครมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค ไต
1. อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ไต จะเริ่มเสื่อม
2. ความดันโลหิตสูง
3. โรคหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ
4. โรคหลอดเลือดสมอง
5. โรคเบาหวาน
6. โรคเก๊าท์
7.โรคไตอักเสบชนิดต่าง ๆ เช่น โรคไตอักเสบตั้งแต่วัยเด็ก ไตอักเสบ เอส-แอล –อี โรคไตเป็นถุงน้ำ นิ่ว เนื้องอก หลอดเลือดฝอยอักเสบ 8. มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไต
9. โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ
10. ใช้ยาแก้ปวด หรือสัมผัสสารเคมีบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคไต - อาการแสดง - การสืบค้น
อาการแสดงเมื่อเป็นโรคไต
1. หนังตา ใบหน้า เท้า ขา และลำตัวบวม
2. ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ขุ่น เป็นฟอง เป็นเลือด สีชาแก่ / น้ำล้างเนื้อ
3. การถ่ายปัสสาวะผิดปกติ เช่น บ่อย แสบ ขัด ปริมาณน้อย
4. ปวดหลัง คลำได้ก้อน บริเวณไต
5. ความดันโลหิตสูง
6. ซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง ไม่กระฉับกระเฉง
7. ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน
8. เบื่ออาหาร การรับรสอาหารเปลี่ยนไป
9. ปวดศีรษะ นอนหลับไม่สนิท
อาการสังเกตเมื่อไตเสื่อม
ไตเริ่มเสื่อม
เช่น อาการบวม ซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ความดันโลหิตสูง
ไตวายเรื้อรัง เช่น ซีดมากขึ้น เบื่ออาหาร คันตามตัว
อาการสังเกตเมื่อไตเสื่อม
1. อาการบวมที่หน้า และหนังตา
2. อาการบวมที่ขา
3. อาการบวมที่เท้า
4. ปัสสาวะเป็นเลือด
โรคไตวายไตวายเฉียบพลัน
ไตเสื่อมอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเป็นวัน หรือสับดาห์ มักมีอาการมากกว่าแบบเรื้อรัง อัตราการเสียชีวิตสูง ถ้าพ้นอันตราย ไตมักจะเป็นปกติได้
โรคไตวายเรื้อรัง
เนื้อไตถูกทำลายอย่างถาวร ทำให้ไตค่อย ๆ ฝ่อเล็กลง แม้อาการจะสงบ แต่ไตจะค่อย ๆ เสื่อม และเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในที่สุด
สาเหตุของโรคไตวายเรื้อรังปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยด้วยโรคไต เข้าสู่โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีสาเหตุจาก
1. อันดับหนึ่ง โรคเบาหวาน
2. อันดับสอง ความดันโลหิตสูง และ โรคหลอดเลือดฝอยไตอักเสบ เช่น โรค เอส- แอล – อี
3. สาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ โรคนิ่วในไต โรคไตอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อ โรคเก๊าส์ โรคไตจากการกินยาแก้ปวดต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ
โรคถุงน้ำในไตที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ มักทำให้เกิดโรคกับไตทั้ง 2 ข้างพร้อม ๆ กัน
โรคไตจากเบาหวาน
ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานหลายปี จะเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆโดยเฉพาะหลอดเลือดทั่วร่างกายจะแข็ง และหนา ทำให้เลือดไป เลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลด ถ้าควบคุมเบาหวานไม่ดี ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จะเกิดเร็วกว่าปกติ โดยเฉลี่ยโรคไตมักจะเกิดตามหลังโรคเบาหวานมากกว่า 10 ปี ขึ้นไป ถ้าเริ่มมีอาการบวมตามแขน ขา ใบหน้า และลำตัว เป็นการบ่งชี้ว่าเริ่มมีความผิดปกติทางไต การตรวจพบโรคไตระยะเริ่มแรกในผู้ป่วยเบาหวาน
คือความดันโลหิตสูง ไข่ขาวหรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ เมื่อไตเริ่มเสื่อมลง จะต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจหน้าที่ไต โดยค่ายูเรียไนโตรเจน ( BUN ) และคริเอตินิน ( Creatinine ) จะสูงกว่าคนปกติ
ภาวะแทรกซ้อนทางไตในผู้ป่วยเบาหวาน1. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
2. อาการบวม
3. ไตอักเสบจากการติดเชื้อ
4. ไตวายฉับพลัน
5. ไตวายเรื้อรัง ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไตในผู้ป่วยเบาหวาน โรคไตพบประมาณ 30 – 35 % ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไต ได้แก่ เพศชาย พันธุกรรม ระดับน้ำตาลสูง ความดันโลหิตสูง โปรตีนรั่วในปัสสาวะ การสูบบุหรี่
ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคไตจากเบาหวาน
มีอาการซีด บวม ความดันโลหิตสูง อาการคันตามตัว บื่ออาหาร น้ำหนักลด ระยะสุดท้ายจะอ่อนเพลีย คลื่นใส้ อาเจียน อย่างไรก็ดี
การเกิดโรคไตจากเบาหวาน
มักมีสิ่งตรวจพบเพิ่มเติมจากผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจากสาเหตุอื่นซึ่งก็คือ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเบาหวาน อาการชาตามปลายมือ เท้า เจ็บหน้าอก ตามัว แขนขาอ่อนแรง แผลเรื้อรังตามผิวหนังและปลายเท้า
การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อป้องกันโรคไต1. ตรวดปัสสาวะ เพื่อหาโปรตีนทุกปี
2. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เท่ากับ หรือใกล้เคียงปกติ เท่าที่สามารถทำได้
3. รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณท์ปกติ
4. หลีกเลี่ยงการใช้ยา หรือ สารที่เป็นอันตรายต่อไต เช่น ยาต้านการอักเสบระงับปวด สารทึบรังสี
5. สำรวจ และให้การรักษาโรค หรือ ภาวะอื่นที่ทำให้ไตเสื่อมสมรรถภาพ เช่น การติดเชื้อทางปัสสาวะ
การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน และเป็นโรคไต
1. ตรวดปัสสาวะ และ เลือด เพื่อดูหน้าที่ไตเป็นระยะ ๆ
2. กินยาตามแพทย์สั่งติดต่อกัน และพบแพทย์ตามนัด
3. งดบุหรี่ และแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อหลอดเลือด
4. ถ้าต้องรับประทานยาแก้ปวด หรือ ยาอื่น ๆ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และเภสัชกร
5. เมื่อมีอาการบวม ควรงดอาหารเค็ม รสจัด หมักดอง และอาหารกระป๋อง
6. ควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ หรือ ใกล้เคียงมากที่สุด กินยาสม่ำเสมอ ไม่หยุดยาเองเพราะคิดว่าสบายดีแล้ว
7. ระวังอาหารที่มี โคเลสเตอรอลสูง
8. รับประทานผัก และปลามากขึ้น
9. ควรตรวจอวัยวะอื่น ๆ ด้วย เช่น ตา หัวใจ ปอด
10. สำรวจผิวหนัง และเท้าให้สะอาด ไม่มีแผลเรื้อรัง
11. ระหว่างการรักษาด้วยเครื่องไตเทียม ควรรับประทานเนื้อสัตว์ และอาหารเค็มให้น้อยที่สุด
12. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด
ตัวอย่างอาหารไขมันสูงที่ควรระวัง
1. อาหารโคเลสเตอรอลสูง อาหารทะเล เนื้อ – หมู ติดมัน กุ้ง หอย ทุเรียน เนย
2. อาหารไตรกลีเซอร์ไรด์สูง อาหารจำพวกแป้ง ของหวาน ผลไม้รสหวาน เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โรคไตจากเบาหวาน

ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานหลายปี จะเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหลอดเลือดทั่วร่างกายจะแข็งและหนา ทำให้เลือดไป เลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายลดลง ถ้าควบคุมเบาหวานไม่ดี ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จะเกิดเร็วกว่าปกติ โดยเฉลี่ยโรคไตมักจะเกิดตามหลังโรคเบาหวานมากกว่า 10 ปี  ขึ้นไป ถ้าเริ่มมีอาการบวมตามแขน ขา ใบหน้า  และลำตัว เป็นการบ่งชี้ว่าเริ่มมีความผิดปกติทางไต การตรวจพบโรคไตระยะเริ่มแรกในผู้ป่วยเบาหวาน คือความดันโลหิตสูง ไข่ขาวหรือ โปรตีนรั่วในปัสสาวะ เมื่อไตเริ่มเสื่อมลง จะต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจหน้าที่ไต โดยค่ายูเรีย ไนโตรเจน (BUN) และคริเอตินิน (Creatinine) จะสูงกว่าคนปกติ
 ภาวะแทรกซ้อนทางไตในผู้ป่วยเบาหวาน
1.กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
2.อาการบวม
3.ไตอักเสบจากการติดเชื้อ
4.ไตวายฉับพลัน
5.ไตวายเรื้อรัง
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไตในผู้ป่วยเบาหวาน 
โรคไตพบประมาณ 30 – 35 % ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไต ได้แก่
เพศชาย
ระดับน้ำตาลสูง
พันธุกรรม
ความดันโลหิตสูง
โปรตีนรั่วในปัสสาวะ
การสูบบุหรี่
ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคไตจากเบาหวาน
มีอาการซีด
บวม
ความดันโลหิตสูง
อาการคันตามตัว
เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ระยะสุดท้ายจะอ่อนเพลีย คลื่นใส้ อาเจียน
การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อป้องกันโรคไต
1.ตรวจปัสสาวะ เพื่อหาโปรตีนทุกปี
2.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เท่ากับ หรือใกล้เคียงปกติเท่าที่สามารถทำได้
3.รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณท์ปกติ
4.หลีกเลี่ยงการใช้ยา หรือสารที่เป็นอันตรายต่อไต เช่น ยาต้านการอักเสบระงับปวด สารทึบรังสี
5.สำรวจ และให้การรักษาโรค หรือภาวะอื่นที่ทำให้ไตเสื่อมสมรรถภาพ เช่น การติดเชื้อทางปัสสาวะ
การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน และเป็นโรคไต
1.ตรวจปัสสาวะและเลือด เพื่อดูหน้าที่ไตเป็นระยะๆ
2.กินยาตามแพทย์สั่งติดต่อกัน และพบแพทย์ตามนัด
3.งดบุหรี่ และแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อหลอดเลือด
4.ถ้าต้องรับประทานยาแก้ปวด หรือยาอื่นๆ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และเภสัชกร
5.เมื่อมีอาการบวม ควรงดอาหารเค็ม รสจัด หมักดอง และอาหารกระป๋อง
6.ควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ หรือใกล้เคียงมากที่สุด กินยาสม่ำเสมอ ไม่หยุดยาเองเพราะคิดว่าสบายดีแล้ว
7.ระวังอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง
8.รับประทานผักและปลามากขึ้น
9.ควรตรวจอวัยวะอื่นๆ ด้วย เช่น ตา หัวใจ ปอด
10.สำรวจผิวหนัง และเท้าให้สะอาด ไม่มีแผลเรื้อรัง
11.ระหว่างการรักษาด้วยเครื่องไตเทียม ควรรับประทานเนื้อสัตว์ และอาหารเค็มให้น้อยที่สุด
12.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด
ตัวอย่างอาหารไขมันสูงที่ควรระวัง
1.อาหารโคเลสเตอรอลสูง
อาหารทะเล
เนื้อ หมู ติดมัน
กุ้ง
หอย
ทุเรียน
เนย
  2.อาหารไตรกลีเซอร์ไรด์สูง   
อาหารจำพวกแป้ง
ของหวาน
ผลไม้รสหวาน
เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

การดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง (1)





11 สิงหาคม 2548 13:48 น.

คอลัมน์...สุขภาพน่ารู้สู่ประชาชน
โดย รศ.นพ.วิเชียร มงคลศรีตระกูล
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย

ไตวายเรื้อรัง เป็นภาวะที่ไตเสื่อมหน้าที่ลงช้า ๆ แต่ถาวร ปัจจุบันไม่นิยมใช้คำว่า chronic renal failure (CRF) อัตราการเสื่อมของไตขึ้นกับหลายปัจจัยรวมถึงสาเหตุของโรคไตเสื่อม การชะลอความเสื่อมของไตสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การควบคุมความดันโลหิตสูง การลดระดับไขมันในเลือด

ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ที่จะดำเนินไปเป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย การรักษาโดยใช้การบำบัดทดแทนไตที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมีความจำเป็น การล้างไตด้วยเครื่องไตเทียมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง แต่อย่างไรก็ตามสามารถทดแทนบำบัดไตได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนการล้างไตทางหน้าท้อง มีประสิทธิภาพด้อยกว่าการล้างไตด้วยเครื่องไตเทียมและยังต้องพึ่งการทำงาน ของไตที่เหลืออยู่ร่วมด้วย นอกจากนี้ก็มีการผ่าตัดปลูกไต

คุณมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังหรือไม่ ?
1. ACE inhibitors เป็นยาป้องกันหรือชะลอการเสื่อมของไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไม่ได้เกิดจากเบาหวาน
2. การล้างไตด้วยเครื่องไตเทียมที่เพียงพอคือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
3. ในปัจจุบันพบว่าอัตราการตายจากการล้างไตลดลงอย่างเห็นได้ชัด
4.การล้างไตทางช่องท้องโดยใช้น้ำยาที่มี Glucose polymers จะทำให้การควบคุมความสมดุลของน้ำในร่างกายดีมากขึ้น
5.การใช้ยารักษาความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยที่มีไข่ขาวในปัสสาวะมากโดยเป้า หมายให้ลดความดันลงให้ได้ <125/75 มิลลิเมตรปรอท จะสามารถชะลอการเสื่อมของไตได้

สาเหตุของไตวายเรื้อรังที่สามารถแก้ไขได้ เช่น การอุดตันทางเดินปัสสาวะ โรคไตจากยาแก้ปวด โรคไตจากลูปัส โรคไตจากเส้นเลือดอักเสบ โรคไตจากโรค amyloidosis โรคไตจากวัณโรค และโรคไตจากภาวะยูริกในเลือดสูง ดังนั้น การหาสาเหตุของไตวายเรื้อรังจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกายและการตรวจวิจัยเพิ่มเติม รวมถึงการตัดชิ้นเนื้อไตตรวจ

การดำเนินโรค การลดลงของหน้าที่ไตมักเป็นแบบเส้นตรงเมื่อเทียบระหว่าง ค่าปฏิภาคกลับของ creatinine และ เวลา ถึงแม้จะมีความแตกต่างอื่น ๆ เช่น ความเจ็บป่วยอื่นร่วมด้วย ภาวะขาดน้ำและการใช้ยา อัตราการเสื่อมหน้าที่ของไตขึ้นกับหลายปัจจัยรวมถึงสาเหตุพื้นฐานของการเกิด ภาวะไตเสื่อมเรื้อรัง การควบคุมความดันโลหิตของผู้ป่วย รวมถึงตัวผู้ป่วยเอง

สำหรับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรคไปสู่การเกิดโรคไตวายเรื้อรังมีดังนี้
-อัตราการเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันและภาวะไตวายเรื้อรังเพิ่มขึ้นอย่างมากตาม อายุ และสาเหตุไตวายเรื้อรังในผู้สูงอายุส่วนใหญ่แตกต่างกับในผู้ป่วยอายุน้อย โดยพบว่าเกิดจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดแดงที่ไตตีบตัน และโรคต่อมลูกหมาก

-ผู้ชายมีปัจจัยเสี่ยงต่อการลดลงของการทำงานของไตมากกว่า และโรคไตพบในเพศชายได้บ่อยกว่า
-เชื้อชาติเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดโรคไตวายเรื้อรัง เพราะโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงพบบ่อยในกลุ่มคนเอเชียและแอฟริกัน อเมริกัน
-ปัจจัยทางพันธุกรรม มีลักษณะบางอย่างมีความไวต่อการเกิดโรคไต
-ภาวะไข่ขาวในปัสสาวะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง รวมถึงโรคหัวใจในผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
-ภาวะไขมันในเลือดสูง มีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าเพิ่มการเกิดโรค
-ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ที่สุดต่อการเกิดโรค โดยพบว่าอัตราการเสื่อมหน้าที่ของไตอาจลดลงได้มากถึง 10 เท่า ขึ้นกับค่าของความดันโลหิต
-การสูบบุหรี่ มีการพิสูจน์ชัดเจนว่ามีผลต่อการเกิดโรคไต
อาการและอาการแสดง

อาจไม่มีอาการหรือมาด้วยภาวะของเสียคั่งในเลือด (uremia) ซึ่งมีอัตราการตายสูง และพบว่ามีคนไข้ถึงหนึ่งในสามต้องทำการล้างไตแบบฉุกเฉิน และบางรายมีภาวะโลหิตจาง, น้ำเกิน, และความดันโลหิตสูงซึ่งทำให้หัวใจต้องทำงานมากขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนและผลของโรคไตวายเรื้อรัง
1.โรคหัวใจและหลอดเลือด
พบว่าอุบัติการณ์การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังและภาวะไข่ขาวในปัสสาวะก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ สำคัญเช่นกัน สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความชุกของการมีโรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง,ไขมันในเลือดสูง และภาวะหัวใจห้องซ้ายล่างโต รวมถึงภาวะการขาดสารอาหาร

2.ภาวะโลหิตจาง
ภาวะโลหิตจางเป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังอันเป็นผลมาจากการลดลง ของระดับฮอร์โมน erythropoietin และการที่ไขกระดูกไม่ตอบสนองต่อ erythropoietin ดังนั้นการใช้ยาฮอร์โมนดังกล่าวสามารถแก้ไขภาวะนี้ได้ แต่เป้าหมายของระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงยังไม่เป็นที่ตกลง โดยการแก้ภาวะโลหิตจางจะทำให้การทำงานของหัวใจดีขึ้นและขนาดของหัวใจจะลดลง

3. โรคเกี่ยวกับกระดูก
ซึ่งในผู้ป่วยที่มีภาวะของเสียคั่งในเลือดจะทำให้กระดูกไม่ตอบสนองต่อ ฮอร์โมนพาราไทรอยด์และมักขาดวิตามินดีร่วมด้วย ในระยะแรกมักไม่มีอาการ ดังนั้นการใช้ผลเลือดและเอกซเรย์จะช่วยได้

4. ภาวะทุกโภชนาการ
ภาวะทุพภชนาการพบได้บ่อยในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง สาเหตุเพราะการลดลงของระดับคอเลสเตอรอล, ระดับไข่ขาวในเลือด

ผู้ป่วยมักถูกแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณโซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโปรตีนสูง แต่การหลีกเลี่ยงเช่นนี้ก็ทำให้ได้รับจำนวนแคลอรีลดลงด้วย โดยปัญหาความสมดุลของโซเดียม โพแทสเซียมและสมดุลของน้ำ

5. การเปลี่ยนแปลงในระบบต่อมไร้ท่อ
- การเปลี่ยนแปลงการสร้างวิตามินดี
-การลดลงของฮอร์โมน erythropoietin
-การหย่อนสมรรถภาพทางเพศพบได้บ่อย และสามารถรักษาโดยการใช้ sildenafil, testosterone และ erythropoietin
-ผู้ป่วยมักไม่มีประจำเดือน, การตั้งครรภ์ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังหรือรักษาด้วยการล้างไตเป็นไปได้ยากและโอกาสสำเร็จน้อย

ผู้จัดการออนไลน์ - Manager Online (http://www.manager.co.th)

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การผ่าตัดต่อเส้นเลือด เพื่อฟอกเลือด

ผ่าตัดต่อเส้นเลือดเพื่อฟอกไตการผ่าตัดต่อเส้นเลือด เพื่อฟอกเลือด
(Vascular access for hemodialysis)

ถ้าคุณ จะต้องได้รับการรักษาโรคไตวายเรื้อรังในไม่กี่เดือนข้างหน้า คุณควรจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการรักษาจากทีมบุคลากรที่ดูแลรักษา คุณให้มากที่สุด ขั้นตอนที่สำคัญอันหนึ่ง คือ การผ่าตัดต่อเส้นเลือดเพื่อการฟอกเลือด ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นำเลือดออกจากและกลับคืนร่างกายในการฟอกเลือด การผ่าตัดต่อเส้นเลือดควรทำเตรียมว้ก่อนเริ่มฟอกเลือดหลายสัปดาห์หรือหาย เดือน ซึ่งจะเป็นการง่ายกว่าและผลที่ดีกว่าสำหรับคุณ การผ่าตัดต่อเส้นเลือดมีหลายวิธี




การผ่าตัดต่อเส้นเลือดโดยใช้เส้นเลือดผู้ป่วยเองผ่าตัดต่อเส้นเลือดโดยใช้เส้นเลือดผู้ป่วยเอง
(Arteriovenous fistula, AV fistula, AVF)

เป็น วิธีที่ดีที่สุด ถ้าคุณมีเส้นเลือดโตเหมาะสมและมีเวลาเพียงพอ เพราะหลังผ่าตัดต้องใช้เวลารอให้เส้นเลือดที่ต่อโตพอที่จะใช้ได้ (อาจหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน) แต่ถ้าสามารถใช้ได้แล้ว ภาวะแทรกซ้อนจะน้อยกว่าและอายุการใช้งานจะนานกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับชนิด อื่นโดยรวม
แพทย์ ผู้ผ่าตัดจะต่อเส้นเลือดดำเข้ากับเส้นเลือดแดงโดยตรงที่บริเวณข้อมือหรือข้อ ศอกจะทำให้แรงดันเลือดจากเส้นเลือดแดงไหลเทเข้าเส้นเลือดดำ จะทำให้เส้นเลือดดำที่แขนโตและแข็งแรงขึ้นจนสามารถใช้เข็มเบอร์โตแทง เพื่อการฟอกเลือดได้ การผ่าตัดมักจะใช้การฉีดยาชาเฉพาะที่



ผ่าตัดต่อเส้นเลือดโดยใช้เส้นเลือดเทียมการผ่าตัดต่อเส้นเลือดโดยใช้เส้นเลือดเทียม
(Arteriovenous bridge graft, AVBG, AVG)

ถ้าเส้น เลือดของคุณขนาดเล็กไม่เหมาะสมที่จะผ่าตัดด้วยวิธีแรก คุณจะต้องใช้เส้นเลือดเทียมฝังใต้ผิวหนังที่แขนสามารถใช้ได้ภายใน 2 - 3 สัปดาห์ โดยรวมแล้วปัญหาในการใช้งานอาจจะมากกว่าแบบแรก แต่ถ้าดูแลดีสามารถใช้ได้นานอาจจะหลายปี






สายสวนเส้นเลือดดำ เพื่อฟอกเลือดชั่วคราวcatheter
(Double lumen venous catheter for temporary access)

ถ้าไต ของคุณเสื่อมอย่างรวดเร็วจนไม่มีเวลารอการผ่าตัดเส้นเลือดได้ก่อน คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้สายสวนเส้นเลือดดำ เพื่อฟอกเลือดชั่วคราว วิธีนี้ไม่อยู่ถาวร อาจจะอุดตัน ติดเชื้อและทำให้เส้นเลือดดำที่สวนตีบตันได้ ถ้าจำเป็นต้องฟอกเลือดเร่งด่วนการใช้สายส่วนนี้ก็สามารถอยู่หลายสัปดาห์



คำแนะนำหลังผ่าตัดต่อเส้นเลือดเพื่อฟอกเลือด
(Arteriovenous fistular, AVF)


  1. เป็นการผ่าตัดเชื่อมต่อเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงที่ข้อมือหรือข้อศอกของแขนผู้ป่วย
  2. แผลอาจมีเลือดซึมได้
  3. ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทำแผล เว้นแต่แผลซึมมากหรือผ้าคลุมแผลสกปรก
  4. โดยปรกติจะนัดตัดไหม 10 - 14 วัน
  5. อย่าให้แผลเปียกน้ำ
  6. หลังจากผ่าตัด 4 - 5 วัน ให้บริหารมือโดยบีบลูกยางหรือบอลบ่อยๆ เพื่อที่จะช่วยให้เส้นเลือดโตเร็วขึ้น
  7. ห้ามวัดความดันหรือแทงน้ำเกลือแขนข้างที่ผ่าตัดเส้นเลือด
  8. ห้ามสวมนาฬิกา กำไล หรือสายรัด ที่จะกดทับบริเวณเส้นเลือดแขนข้างที่ผ่าตัด


คำแนะนำหลังผ่าตัดต่อเส้นเลือดฟอกเลือดโดยใช้เส้นเลือดเทียม
(Arteriovenous bridge graft, AVBG)


  1. เป็นการผ่าตัดโดยใช้เส้นเลือดเทียมต่อระหว่างเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำในแขนหรือขาของผู้ป่วย
  2. อาการปวดและบวมเป็นเรื่องปกติ เพื่อลดอาการปวดและบวม ควรยกแขนสูงโดยหนุนหมอนให้สูงกว่าระดับหัวใจใน 24 - 48 ชม. แรก ห้ามใช้ความร้อนประคบ
  3. ที่แขนอาจจะมีฟกช้ำจ้ำเลือด จะรู้สึกอุ่น อาจมีเลือดซึมจากบาดแผล
  4. ถ้าจำเป็นก็ทานยาแก้ปวดฟอกเลือด
  5. ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทำแผล เว้นแต่แผลซึมมากหรือผ้าคลุมแผลสกปรก
  6. โดยปรกติจะนัดตัดไหม 10 - 14 วัน
  7. อย่าให้แผลเปียกน้ำ
  8. หลีกเลี่ยงการงอข้อศอกมากๆ จะทำให้รบกวนต่อการไหลเวียนกลับของเลือด
  9. ให้มาพบแพทย์ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้
  • มีอาการชา หรือปวดที่มือ
  • ปวด บวม แดง มากขึ้น
  • แผลมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด
  • มีไข้สูง

ภาวะโลหิตจาง ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง


gr1 
















สาเหตุ
ภาวะโลหิตจางในผู้ป่วยที่เป็นโรคไต วายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีสาเหตุที่สำคัญได้แก่ร่างกายสร้าง ฮอร์โมน(Erythropoietin:EPO)ในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง และจากการขาดธาตุเหล็กระดับค่าความเข้มข้นของเลือดที่เหมาะสมตามตามมาตรฐาน การรักษา คือ 33-36 %ถ้ามากกว่าหรือน้อยกว่านี้จะทำให้มีโรคแทรกซ้อนหรือเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
อาการ
  • หน้ามืด อ่อนเพลีย เวียนศีรษะทำให้รบกวนกิจวัตรประจำวันกิน-นอน-พักผ่อน ซีดเป็นลมง่าย วูบ
  • เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่ายเช่นเดินขึ้นบันได ทนต่ออากาศหนาวเย็นได้น้อย
  • ลิ้นเลี่ยน กินไม่อร่อย
  • นอนไม่ค่อยหลับ
  • กิจกรรมทางเพศลดลง

อันตรายจากภาวะซีด
      • หัวใจห้องล่างซ้ายโต หัวใจทำงานหนักมากกว่าปกติ
      • เพิ่มอัตราการตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
      • ภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
การรักษา
มีอาการสงสัยว่าจะเป็นโลหิตจางควรไปพบแพทย์เพื่อรับวินิจฉัยหากมีภาวะขาดสารดังกล่าวจริงแพทย์จะให้การรักษาโดย
  1. ให้ ธาตุเหล็กเสริม มีทั้งรูปแบบกินและแบบฉีด การกิน เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก ราคาถูก ขนาดที่ทานคือ 200มิลลิกรัม วันละสามครั้ง ปัญหาคือในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังมักมีการดูดซึมเหล็กที่ทางเดินอาหารได้ไม่ดี อาจถูกรบกวนการดูดซึมโดยยาบางชนิดเช่น แคลเซียม อลูมิเนียม ยาลดกรด หรือมีการสูญเสียเลือดในทางเดินอาหาร
  2. ให้ฮอร์โมน(EPO)ฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไขกระดูกป้องกันภาวะโลหิตจาง
  3. ให้ เลือดในรายที่ซีดมาก แต่การให้เลือดเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซี และไวรัสเอดส์ อาจทำให้เกิดโอกาสสลัดไตในการปลูกถ่ายไต ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการให้เลือด ในผู้ที่มีแผนจะปลูกถ่ายไตในอนาคต

ข้อสังเกต แม้ จะมีวิธีในการดูแลภาวะซีดหลายแนวทางแต่วิธีที่คุ้มค่าที่สุดคือการรับประทาน ธาตุเหล็กอย่างสม่ำเสมอถูกต้อง การรับประทานเหล็กอาจมีอาการท้องผูก ปวดท้อง  รู้สึกไม่สบายท้อง  อาจทำให้เบื่ออาหารได้ อาจแก้ไขโดยกินในขณะท้องว่าง 2 ชั่วโมงก่อนหรือ 1 ชั่วโมง หลังอาหาร เพื่อเพิ่มการดูดซึมหรือกินก่อนนอน
ภาวะที่ทำให้ฉีดฮอร์โมน EPO ไม่ได้ผล
  • ภาวะขาดเหล็กอย่างรุนแรงเพราะการสร้างเม็ดเลือดแดงต้องมีทั้งEPO และเหล็ก
  • ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงจะมีผลยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดง
  • ภาวะขาดวิตามินในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงเช่นโฟลิค
  • ภาวะที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อในร่างกาย
  • ภาวะของเสียคั่งจากขาดฟอก
  • ผู้ที่ทานยาจับฟอตเฟตเช่นอลูมิเนียม
  • ผู้ที่มีการสูญเสียเลือดบ่อยครั้ง

การป้องกันภาวะซีด
  1. ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กและยาบำรุงเลือดเพียงพอ เช่นโฟลิค
  2. รับประทานเหล็กอย่างถูกต้อง ทั้งขนาดและวิธีการรับประทาน ตามแพทย์สั่ง
  3. ไม่ควรงดการฟอกเลือด
  4. แจ้ง ให้พยาบาลทราบถ้ามีเลือดออกในร่างกายหรือเป็นแผลตามร่างกาย เช่น อาการเลือดออกตามไรฟัน มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารอุจจาระเป็นสีดำ หรือเป็นริดสีดวงทวารจะมีเลือดขณะอุจจาระ มีปัสสาวะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อเป็นต้น ในผู้หญิงควรแจ้งทุกครั้งที่มีประจำเดือน
  5. ผู้ป่วยทานยาละลายลิ่มเลือดควรแจ้งให้ทราบด้วย
  6. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารให้ครบ 5หมู่ งดอาหารรสจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด เป็นต้น

วิตามินบีรวม อาหารเสริมที่จำเป็นสำหรับโรคไต















ประเด็นหลักของการขาดวิตามินของผู้ ป่วยไตวายเรื้อรังคือการเข้มงวดเรื่องการรับประทานอาหาร ไม่สามารถรับประทานอาหารบางประเภทได้ ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดอาการข้างเคียงต่อผู้ป่วยหลายประการ เช่น ภาวะซีด (เลือดจาง), แขนขาชา, อาการคันในส่วนต่างๆ, ปวดศรีษะ ฯลฯ การฟอกไตที่ทำให้แต่เนื่องจากส่วนใหญ่ทางแพทย์ที่ดูแลไข้ มักจะไม่ค่อยสั่งให้กับทางผู้ป่วยครับ
วิตามิน บี รวม เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทและความสมบูรณ์ของอวัยวะ ต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยวิตามิน บี 1, บี 2, ไนอะซีน, แพนโทธีนิก แอซิด, บี 6, บี 12, โฟลิก แอซิด, ไอโนซิทอล และโคลีน วิตามิน บี รวม เหมาะสำหรับการบำรุงสุขภาพของผิว ผม สายตา ตับ และยังมี ประโยชน์อย่างมากในการรักษาความผิดปกติของเส้นประสาท ความเคร่งเครียดในชีวิตประจำวันทำให้ร่างกายต้องการวิตามิน บี มากยิ่งขึ้น
Vitamin B1
วิตามินบี1 หรือ Thiamin เป็นวิตามินที่โดนขับออกจากผู้ป่วยโรคไตเพราะเครื่องฟอกไตเทียม มีความจำเป็นในการสร้างสารสื่อสัญญาณประสาท และมีความจำเป็นต่อสุขภาพของระบบประสาท อาการรู้สึกสับสนเป็นอาการของการขาดวิตามิน บี1
อาการที่แสดงว่าขาด ได้แก่ ชาตามปลายมือปลายเท้า ตากระตุก แขนขาอ่อนแรง ความจำเสื่อม ซึมเศร้าไม่ทราบสาเหตุ กระสับกระส่าย หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น อาจพบว่าหัวใจมีขนาดโตขึ้น

อาการเป็นพิษ โชคดีที่ละลายในน้ำได้จึงไม่พบว่ามีอาการพิษที่เกิดจากการสะสมในปริมาณที่มีมากเกินไป
เเหล่งอาหารที่ได้รับ ธัญพืช ผัก และเนื้อสัตว์ ความต้องการต่อวัน 1.5 มก
ประโยชน์
จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจและกล้ามเนื้อ
ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
ช่วยแก้อาการเมาคลื่นและเมาอากาศ
ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัดให้หายเร็วขึ้น
Vitamin B2
ใช้ในการเจริญเติบโต เมื่อขาดจะกลายเป็นคนแคระแกรน จำเป็นต่อเอนไซม์และกระบวนการเมตาบอลิสมของสารอาหารต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะไขมัน ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตูให้เส้นเลือดแข็งตัว ขจัดไขมันชนิดอิ่มตัวในเส้นเลือด เหตุนี้เองวิตามินบี2 จึงได้สมญาว่า "วิตามินป้องกันไขมัน" วิตามินบี2 ช่วยระงับอาการตาแฉะได้ จึงใช้เป็นส่วนประกอบในยาหยอดตา
Vitamin B3
วิตามินบี3 หรือ ไนอะซิน (Niacin) สามารถต่อสู้กับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงและช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นจำนวนมาก
ประโยชน์
ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์และยาเสพติด
รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
ช่วยให้อาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้น
ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
ช่วยบรรเทาโรคอาร์ไทรทิสหรือข้ออักเสบ
ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเพศ
ช่วยลดความดันโลหิตสูงประจำ
Vitamin B5
วิตามินบี5 หรือ (Pantothenic Acid) เป็นวิตามินในการสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยบำรุงระบบประสาท
ร่างกายคนเราต้องการวิตามินบี5 อย่างน้อย 200 มิลลิกรัม
ประโยชน์
ช่วยสร้างแอนติบอดีซึ่งเป็นตัวสำคัญของภูมิชีวิต
เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน วิตามินบี5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล
ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อกหลังการผ่าตัดใหญ่
ช่วนให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น
Vitamin B6
วิตามินบี6 หรือ (Pyridoxine) มักสูญเสียเพราะของเสียในเลือดของผู้ป่วยโรคไต เป็นวิตามินที่มักใช้ร่วมกับบี1 และบี12 ซึ่งวิตามินบี1 ทำงานกับคาร์โบไฮเดรตส่วนวิตามินบี6 และบี12 ทำงานร่วมกับโปรตีนและไขมัน ร่างกายคนเราต้องการวิตามินบี6 ประมาณ 1.5 มิลลิกรัม
ประโยชน์
ช่วยเปลี่ยนกรดอมิโนให้เป็นวิตามินบี3 หรือไนอะซิน
ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตใด้ดียิ่งขึ้น
ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแร่ธาตุแมกนีเซียม
ช่วยบรรเทาโรคที่เกิดจากระบบประสาทและผิวหนัง
ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้อาเจียน
ช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและคอแห้ง
ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชาและช่วยขับปัสสาวะ
19517
Vitamin B12
วิตามินบี 12 (Cyanocobalamin) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ให้ระวังการดูดซึมของบี12 สู่ร่างกายจะบกพร่องและเป็นผลให้เกิดโรคโลหิตจาง ควรกินวิตามินชนิดนี้ควบกับแคลเซียมจะทำให้การดูดซึมสู่ร่างกายดีขึ้น
ประโยชน์
ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดีและมีสมาธิ
Vitamin B9 โฟลิก แอซิด ทำงานร่วมกับวิตามิน บี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง บรรเทาอาการหมดแรง หงุดหงิดง่าย ปวดศรีษะ อาการหลงลืม บรรเทาอาการทางประสาท พบมากในผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ไก่ ปลา เป็ด ความต้องการ ไม่เกิน 400 มก.ต่อวัน
Vitamin Bp โคลีน ช่วยในการสร้างสารอะเซทิลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อสัญญาณประสาทที่สำคัญในสมองที่ใช้ในการเก็บความทรงจำ
Vitamin Bm ไอโนซิทอล ช่วยในปฏิกิริยาชีวเคมีของไขมันทำให้ใช้ไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยในการเสริมอาหารให้แก่สมอง
Vitamin Bh ไบโอติน ช่วยในการสร้างพลังงาน การเจริญเติบโต และการสร้างกรดไขมันในร่างกาย พบมากใน ผักใบเขียวทุกชนิด ยีสต์ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก ปลา อาหารทะเล
นอกจากวิตามินบีรวมที่กล่าวมา ข้างต้นแล้ว ควรได้รับวิตามินดี อาหารวิตามินดีชนิด 1-alpha hydrocylated form ตามแพทย์สั่ง วิตามินซี และหลีกเลี่ยงวิตามินเอครับ

"มะเฟือง" กับผู้ป่วยไตวาย


630
หลายเสียงเล่าลือกันถึงเรื่องของพิษที่มีอยู่ใน... "มะเฟือง" ส่งผลทำให้มีอันตรายถึงชีวิตจากภาวะไตวายเฉียบพลัน
เพื่อให้คลายสงสัย รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความกระจ่างว่า...
มะเฟืองเป็นผลไม้เขตร้อนที่คนไทย รู้จักมา เนิ่นนาน แต่ในจำนวนคนไทย 67 ล้านคน มีน้อยคนนักที่จะทราบว่า...พิษของมะเฟืองมีผลต่อสุขภาพของไต

และ...อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้

คุณ หมอชาครีย์ บอกว่า "ไต"... เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อระบบในร่างกายของเรา มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง มี 2 ข้างอยู่บริเวณบั้นเอว

ไตเป็น ส่วนหนึ่งของระบบทางเดินปัสสาวะ ส่วนที่ต่อจากท่อไต  (URETER) ซึ่งจะนำปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ และเข้าสู่ท่อปัสสาวะ  (URETHRA) ในเพศชายจะมีต่อมลูกหมากอยู่โดยรอบท่อปัสสาวะ

หน้าที่สำคัญของไต
1.ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการแตกตัวของโปรตีนในอาหารออกจากร่างกาย
2.รักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ กรดและด่างของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
3.ควบคุมความดันโลหิต 4.สร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก

ความหมายของภาวะไตวาย คือ ภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรก...ไตวายเรื้อรัง คือการสูญเสียการทำงานของไต ที่เป็นไปอย่างช้าๆ และถาวร ช่วงเวลาอาจตั้งแต่ 1–2 ปี จนถึง 10 ปีขึ้นไป จนในที่สุดเข้าสู่ภาวะสุดท้ายของไตวาย (END  STAGE  RENAL  FAILURE) ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ต้องการการรักษาแบบทดแทน เช่น ฟอกเลือด, เปลี่ยนไตเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้

ชนิด ที่สอง...ไตวายเฉียบพลัน ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นชั่วโมง หรือ เป็นวัน ทำให้เกิดการคั่งของของเสียทำให้เกลือแร่ กรด ด่าง และการควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายผิดปกติ

"ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีปริมาณปัสสาวะต่อวันน้อยกว่า 400 ซีซี"

คุณหมอชาครีย์ บอกอีกว่า สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน มีหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่ เกิดจากความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย...การอุดตัน ผู้ป่วยที่ช็อกจากการติดเชื้อ, เสียเลือดจำนวนมาก หรือขาดน้ำอย่างรุนแรงจากท้องเสีย

การใช้คำว่า   "เฉียบพลัน"   นอกจากบ่งถึงช่วงเวลาระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ยังบ่งถึงความเป็นไปได้ ที่ไตจะกลับสู่ภาวะปกติได้

คนไทยรู้จักมะเฟืองมานาน นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือคั้นเป็นน้ำผลไม้ หรือรับประทานผลดิบเป็นผัก เช่น ในอาหารเวียดนาม

"ในบ้านเรามีรายงานเกี่ยวกับคนไข้เกิด ภาวะไตวายเฉียบพลันหลังการรับประทานผลสด หรือน้ำมะเฟืองจำนวนมาก...เนื่องจากมะเฟืองเป็นพืชที่มีสารออกซาเลตสะสมอยู่ เป็นจำนวนมาก

ปกติแล้วออกซาเลตสามารถละลายและถูกดูด ซึมได้อย่าง อิสระ แล้วถูกขับออกทางไต โดยสาเหตุของไตวายเฉียบพลันนั้น เพราะไตเป็นแหล่งที่มีสารต่างๆหลายชนิด เมื่อสารออกซาเลตในมะเฟืองจับตัวกับแคลเซียมที่อยู่ในไต จะกลายเป็น...ผลึกนิ่วออกซาเลต

ผลึกนิ่วจำนวนมากตกตะกอน หรืออุดตันในเนื้อไต และท่อไต ...ทำให้ไตวายหรือสูญเสียการทำงานไป"

แต่กระนั้น...การเกิดภาวะไตวายไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยทุกราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทาน และภาวะพร่องหรือขาดน้ำในผู้ป่วย

หน่วย โรคไต โรงพยาบาลรามาธิบดี เคยพบกรณีคนไข้ในประเทศไทยมีอาการไตวายเฉียบพลัน จากการได้รับภาวะพิษจากการรับประทานผลมะเฟือง และได้ส่งรายงานไปต่างประเทศ

ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษต่อไต...เกิดขึ้น ในหลายชั่วโมงถัดมา หลังรับประทานผลมะเฟือง ผู้ป่วยจะมาด้วยภาวะไตวายเฉียบพลัน กล่าวคืออาจจะมีปัสสาวะออกน้อยลง, บวมน้ำ, ความดันโลหิตสูงขึ้น, น้ำท่วมปอด, อ่อนเพลีย

หรือ...บางรายอาจมาด้วยอาการสะอึก เนื่องจากของเสียในร่างกายคั่ง จากการที่ไตไม่สามารถขับของเสีย และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้ และ...อาจจะต้องได้รับการฟอกเลือดล้างไตในที่สุด

พบด้วยว่า ถ้ามีภาวะไตวายเฉียบพลันเกิดขึ้น หลังหยุดรับประทานมะเฟืองผู้ป่วยเดิมที่มีไตปกติ กว่าไตจะกลับมาทำงานได้ตามปกติอาจใช้เวลานาน ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แต่หากเป็นผู้ป่วยที่มีโรคไตเดิมอยู่ก่อนแล้ว การทำงานของไต อาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่กลับมาเท่าเดิม และอาจจะต้องฟอกไตถาวร

ผลการ ศึกษาปัจจัยการเกิดโรค พบว่าขึ้นอยู่กับชนิดมะเฟือง...มะเฟืองเปรี้ยวมีโอกาสเกิดโรคมากกว่ามะเฟือง ชนิดหวาน เนื่องจากมีปริมาณกรดออกซาลิคมากกว่า

"ถ้ารับประทานผลสด หรือผลไม้คั้น จะมีโอกาสเกิดโรคมากกว่า แต่ถ้าผ่านการดอง หรือแปรรูปหรือเจือจางในน้ำเชื่อม เช่น...ในน้ำมะเฟืองสำเร็จรูป จะทำให้ปริมาณออกซาเลตลดน้อยลง"

ปริมาณที่รับประทาน พบว่าระดับออกซาเลต ที่เป็นพิษต่อร่างกายมีค่าตั้งแต่ 2-30 กรัมของปริมาณออกซาเลต...ผลมะเฟืองเปรี้ยวมีออกซาเลต ประมาณ 0.8 กรัม ในขณะที่มะเฟืองหวานมีออกซาเลต 0.2 กรัม

สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่เดิมอาจมีไตวายเฉียบพลัน   จากการรับประทานมะเฟืองเพียงเล็กน้อย

นอกจาก นี้ ระดับความรุนแรงยังขึ้นอยู่กับภาวะพร่องหรือขาดน้ำ จากการรายงานผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายหลังรับประทานมะเฟือง พบว่าผู้ป่วยดื่มน้ำมะเฟืองหลังจากการทำงานหนักหรือสูญเสียเหงื่อมาก จะยิ่งมีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น เนื่องจากผลึกแคลเซียมออกซาเลตจะอิ่มตัว และตกผลึกง่ายขึ้นในเนื้อไต

ในผู้ที่มีไตเรื้อรังอยู่ก่อนโดยเฉพาะ ผู้ที่ไตวายต้องล้างไตแล้ว มะเฟืองมีผลต่อระบบประสาทด้วย มีรายงานในผู้ป่วยกว่า 50 รายทั่วโลก...มะเฟืองอาจมีสารที่เป็นพิษกับระบบประสาท ซึ่งผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไปจากการที่สมองบวม จากการที่มีผลึกนิ่วออกซาเลตไปเกาะสมอง

หรือการที่มะเฟืองมีสารพิษ อื่นที่กระตุ้นสมอง สารพิษต่อสมองนี้จะสะสมในภาวะไตวาย ดังนั้น...การเกิดพิษลักษณะนี้พบได้น้อยมากในคนปกติ และผู้ป่วยมักต้องรับประทานผลมะเฟืองเป็นจำนวนมาก

"ผู้ป่วยไตวายอาจ มีอาการทางสมองหลังรับประทานมะเฟืองทั้งชนิดหวานและชนิดเปรี้ยว เพียง...หนึ่งผล อาการ...มักเริ่มไม่กี่ชั่วโมงหลังรับประทานมะเฟือง โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สะอึก ตามด้วยภาวะซึมหรือชัก

ผู้ ป่วยส่วนใหญ่จะดีขึ้นหลังหยุดรับประทานมะเฟือง หลังการล้างไตเพื่อเอาพิษมะเฟืองออก...อย่างไรก็ตาม  มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตหลังรับประทานมะเฟือง"

น่าสนใจที่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ยินข่าวผู้ป่วยจากพิษมะเฟือง เป็นไปได้ ว่าที่ผ่านมามะเฟืองไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก ผลผลิตมะเฟืองในแต่ละปีก็มีจำนวนไม่มากอย่างผลไม้อื่นๆ คนส่วนใหญ่จะรับประทานในปริมาณน้อย และไม่รับประทานมะเฟืองเปรี้ยว

แต่ ในช่วงหลังๆมานี้...ได้มีบทความแพร่ทางสื่อออนไลน์ชวนให้รับประทานมะเฟืองสด โดยชี้แนะประโยชน์ทางสุขภาพ เช่น ลดน้ำตาลในเลือด หรือช่วยรักษาโรคอื่นๆ จึงอาจทำให้มีคนเชื่อ หันมาบริโภคมะเฟืองกันมากขึ้น

ปัจจุบันยัง ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ระบุชัดเจนถึงประโยชน์ของมะเฟือง ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง มะเฟืองสดเป็นผลไม้ที่น่าจะเกิดโทษกับผู้ที่รับประทานมากเกินกว่าที่ร่างกาย จะทำลายพิษได้

และ...ขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้บริโภค ที่มีความเสี่ยง ต่อภาวะไตวาย ผู้บริโภคสุขภาพปกติทานได้แต่ในปริมาณไม่มาก...ผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตควรหลีก เลี่ยง...โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีไตเสื่อม  หรือมีความเสี่ยงต่อโรคไต ห้ามทานมะเฟืองทั้งเปรี้ยวและหวานเด็ดขาด

คุณหมอชาครีย์ย้ำทิ้งท้าย ว่า   โรคไตมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง   ผู้รักสุขภาพควรเอาใจใส่ต่อโภชนาการที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพไตเป็นประจำทุกปี